วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2561

5 เครื่องมือการตลาดดิจิทัล มาแรงในปี 2018


  1. ครบจบในมือถือ ปัจจุบันสมาร์ทโฟนใช้เพื่อเข้าถึงบริการต่างๆในอินเตอร์เน็ต มีผู้ใช้มากกว่า คอมพิวเตอร์ และ แท็บเล็ต หลายเท่าตัว ซึ่งควรสร้างให้สมาร์ทโฟนเป็นแบบ One Stop Sevice คือสามารถทำทุกอย่างได้โดยผ่านสมาร์ทโฟนทั้งหมด 
  2. เชื่อมต่อด้วย IoT (Internet of Things) ในชีวิตประจำวันเราเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีมากมาย ทั้ง สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งตัว IoT จะช่วยที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆสามารถทำงานเชื่อมต่อกันได้อย่างอัจฉริยะ 
  3. o2o ไม่ทำไม่ได้แล้ว คือ Online to Offline การผสมผสานธุรกิจออนไลน์ไปยังออฟไลน์ เพราะผู้บริโภคไม่ได้อยู่แค่ในโลกออนไลน์เท่านั้น หรือ ออฟไลน์เท่านั้น แต่ใช้ชีวิตอยู่ในทั้ง 2 โลกดังนั้นการทำตลาดแค่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะไม่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทั้งหมด และเป็นการลดปัญหาเจ้าของแบรนด์ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า 
  4. VR & AR ให้ลูกค้ารู้สึกจริง เป็นเทคโนโลยี VR ใส่แว่นแล้วเห็นภาพสามมิติจำลองเสมือนจริง และ AR สามมิติในมือถือซึ่งมีต้นทุนถูกกว่า VR แต่ให้ความรู้สึกเหมือนจริงน้อยกว่าเช่นกัน 
  5. Video content ยังได้ไปต่อ เห็นได้ชัดเจนว่า Video ได้รับความนิยมมากกว่าการโพสต์ข้อความหรือรูปปกติ และมีอัตราความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะเป็น content ที่ไม่น่าเบื่อ สร้างอารมณ์ร่วมได้ดี สร้างการจดจำ 

วิเคราะห์ข่าว 
     5 เครื่องมือการตลาดดิจิตอลนี้ ถือเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจในปี 2018 แต่ยังมีเครื่องมือการตลาดดิจิตอลอีกหลายตัวที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับแบรนด์ในประเภทต่างๆได้นำไปเลือกใช้เพื่อส่งเสริมให้ทำการตลาดได้อย่างมีปะสิทธิภาพยิ่งขึ้น

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

Facebook กำลังใช้ปัญญาประดิษฐ์ ตรวจสอบ meme ที่น่ารังเกียจ

Facebook เริ่มรับไม่ได้ที่แพลทฟอร์มของตนนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่สร้างความเกลียดชังมากขึ้น โดยขัดต่อกฎหลักที่ตนต้องการ จึงมีการสร้างเครื่องมือมาตรวจจับการกระทำผิดเหล่านี้
มีม (meme) เป็นรูปแบบของ ความคิดทางวัฒนธรรม สัญลักษณ์ หรือการปฏิบัติ ที่สามารถส่งผ่านจากจิตใจคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ผ่านการเขียน การพูด ท่าทาง พิธีกรรม ภาพล้อเลียน และมีคำศัพท์ต่างๆในภาพที่มีความหมายเชิงตลก
แต่นับวัน สัญลักษณ์หรือมีมเหล่านี้กำลังเพิ่มขึ้นจำนวนมาก มีมทีดีก็ดีไป แต่สำหรับมีมที่จงจงสร้างแรงเกลียดชังหรือสร้างความร้าวฉานแก่สังคม Facebook จำเป็นต้องลบออกไปให้เร็วที่สุด แต่ปัญหาคือมีมมันมีมากจน Facebook ไม่สามารถใช้มนุษย์แยกแยะได้ทั้งหมด
ในโพสต์บล็อกวันนี้ Facebook อธิบายถึงระบบที่สร้างขึ้นมานั่นคือ Rosetta ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ ที่ใช้การทำ Machine Learning เพื่อใช้ระบุข้อความในรูปภาพและวิดีโอ ที่นำมาอัพโหลดลงใน Facebook ที่แสดงถึงความเกลียดชังและสร้างความขัดแย้งในสังคม
วิเคราะห์ข่าว
ถึงมีมจะช่วยส่งรูปแบบความคิดเราได้ดี แต่ถ้าผู้สร้างมีมบางคน สร้างในรูปแบบที่น่าเกลียด ก็อาจส่งผลต่อผู้ใช้งานบางส่วน

จิตแพทย์เตือน E-sport ไม่ใช่กีฬา เป็นเพียงแค่วาทกรรมของบริษัทเกมเท่านั้น

โดยนายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต. ได้ให้เหตุผลชี้แจงว่า 
1. E-sport เป็นเพียงวาทะกรรมของบริษัทเท่านั้น โดยปัจจุบันการแข่งขันเกม คณะกรรมการโอลิมปกสากล ก็ยังไม่รองรับว่าเป็น Sport ด้วย 3 เหตุผลคือ การแข่งขันนั้นมีเนื้อหารุนแรง ขาดระบบ Sanction Body ที่คอยควบคุมนักกีฬา 
2.คนเล่น เป็นนักกีฬาไม่ได้ทุกคน ปัจจุบันในสหรับอเมริกา มีคนเล่น ROV จำนวน 60 ล้านคน แต่มีผู้เล่นที่มีรายได้ประจำเพียงแค่ 57 คนเท่านั้น (อัตราเทียบคือ 1 :1,000,0000) ซึ่งส่งผลเสียต่อครอบครัวและสมรรถนะในการประกอบอาชีพ
3.กว่าจะได้เป็นมืออาชีพ คนเหล่านี้ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพ สมาธิสั้น เสียการพัฒนา โดย WHO จึงประกาศให้ Game Disorder หรือโรคติดเกม เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง
4.การรับรองโดยสมาคม โดยในต่างประเทศเป็นการรับรองว่าเป็นสมาคมตัวแทน แต่กับประเทศไทย ได้รับรองว่าเป็นกีฬาโดยตรง ทำให้บริษัทและสมาคมสามารถขยายการโฆษณาได้อย่างไรขีดจำกัด
5.ผลคือการโฆษณาอย่างบ้าคลั่งทำให้เด็กติดเกมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีปัญหาด้านพฤติกรรมก้าวร้าว ละทิ้งการเรียน การโกหก ลักขโมย รวมไปถึงไปภาวะซึมเศร้า และเพียงแค่ประกาศรับรองได้เพียง 6 เดือนก็ทำให้เด็กมีภาวะติดเกมเพิ่มขึ้นกว่า 100% เพราะได้มีการจัดแข่งขันกันในโรงเรียนโดยอ้างว่าเป็นกีฬา
วิเคราะห์ข่าว
E-sport ถึงจะจัดให้เป็นกีฬา แต่ก็มีผลเสียในหลายๆ ด้าน ถ้าเราแบ่งเวลาให้เป็น รู้จักทำตามกฎ กติกา ก็จะส่งผลให้เสียให้น้อยลงมาก

เขย่าวงการ! ซีอีโอกูเกิลเตรียมสร้าง “ปัญญาประดิษฐ์” ด้วยงบมหาศาล 500 ล้านดอลลาร์

นายศุนทัร ปิจไช ซีอีโอกูเกิล (Google) ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) ว่าจะมีความสำคัญต่อมนุษยชาติยิ่งกว่าเปลวไฟหรือกระแสไฟฟ้า พร้อมกับระบุว่า  “เอไอเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดที่มนุษย์กำลังทำอยู่” 
เอไอก็มีศักยภาพของความก้าวหน้าบางอย่างที่เรากำลังจะได้เห็นในอนาคต นอกจากนี้กูเกิลเปิดเผยว่า เขาจะควักเงินกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อซื้อบริษัท ดีพมายด์ (DeepMind) ผู้สร้างสรรค์ปัญญาประดิษฐ์อัลฟาโกะ (AlphaGo) ในปี 2016 และนำมันมาพัฒนาต่อจนแสดงความสามารถช็อกโลกด้วยการเอาชนะมนุษย์ ลี เซโดล แชมป์หมากล้อม 18 สมัยจากเกาหลีใต้อย่างขาดลอยในปีก่อน
วิเคราะห์ข่าว
การที่กูเกิล บริษัทชั้นนำทางด้านอินเตอร์เน็ต จะเข้ามาพัฒนาเอไอในทางที่ดีขึ้น และจะช่วยประมาณให้กับมนุษย์ได้มากขึ้นเช่นกัน 

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561

LINE ปิดปรับปรุง บริการเติมเงินบัตร Rabbit ผ่านแอป LINE

     เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2561 LINE เปิดตัวบริการเติมเงินเพื่อโดยสารรถไฟฟ้า BTS โดยใช้แอป LINE คู่กับบัตร Rabbit แต่เนื่องจากมีรายงานว่าพบผู้โดยสารไม่สามารถใช้บัตร Rabbit ในการจ่ายเงินซื้อของ หรือโดยสาร BRT ได้ ตั้งแต่หลังจากยืนยันใช้แอปคู่กับบัตร Rabbit ที่  BTS 5 สถานีแล้วไม่สามารถแตะบัตรใช้งานได้ โดยแอป LINE ชี้แจงว่า “เนื่องจากพบปัญหาบางประการ จึงเป็นเหตุให้บูธปิดปรับปรุงชั่วคราว ทั้งนี้หลังจากแก้ไขปัญหาเสร็จแล้ว ทางเราจะเปิดให้บริการตามปกติใน 5 สถานี 
วิเคราะห์ข่าว : การที่ แอป LINE เพิ่มบริการตัวใหม่ ทำให้เพิ่มความสะดวกสบายแก่พนักงานหลายๆ คน แต่ถึงแม้จะมีข้อผิดพลาด ก็ไปปรับปรุงแก้ไข พัฒนาให้ดีขึ้น นับว่าเป็นบริการที่ดี
     

วิธีใช้คีย์บอร์ดเล่นเฟซบุ๊กสำหรับเดสก์ท็อป ไม่มีเมาส์ก็เล่นเฟซบุ๊กได้

1. ปุ่ม ? (Shift + /)

          สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าคีย์ลัดแต่ละปุ่มนั้น มีความหมายอย่างไรบ้าง หรือบางคนอาจจะลืม ก็สามารถกดปุ่ม ? เพื่อเรียกดูรายการปุ่มลัดบนแป้นพิมพ์ได้ โดยจะมีคำอธิบายของทุกปุ่มไว้
 
2. ปุ่ม J และ K

          หากอยากจะเลื่อนหน้า Feed ข่าว ทำได้ง่าย ๆ เพียงกดไปที่ปุ่มตัว J บนคีย์บอร์ดก็สามารถเห็นโพสต์ถัดไปได้เรื่อย ๆ หากอยากจะกลับมาดูโพสต์ก่อนหน้านี้แค่กดไปที่ปุ่มตัว K คุณก็จะเห็นโพสต์ก่อนหน้านี้ได้แล้ว

3. ปุ่ม /

          เลื่อนหน้า Feed ดูแล้วยังไม่เจอเฟซบุ๊กเพื่อน เพจที่ชอบก็ยังหาไม่เจอ แค่กดปุ่ม / บนคีย์บอร์ด แล้วพิมพ์ชื่อเฟซบุกเพื่อน หรือแฟนเพจที่เราจะค้นหา เพียงเท่านี้เราก็หาเจอแล้ว

4. ปุ่ม L

          เมื่อเจอรูป, โพสต์จากเพื่อน หรือคอนเทนต์ที่เราชอบ ถูกใจ อยากจะกด Like ให้ แต่จะกดยังไงดีเพราะไม่มีเมาส์ แค่กดปุ่มตัว L บนคีย์บอร์ดเท่านั้น จะมีกล่องข้อความเด้งขึ้นมาเพื่อยืนยันความถูกต้องในสิ่งที่เราจะกด Like จากนั้นกดปุ่มลูกศรเลื่อนมาที่ "ยืนยัน" แล้วกด Enter ได้เลย เพียงแค่นี้เราก็กด Like เรียบร้อยแล้ว

5. ปุ่ม C

          คันไม้คันมืออยากจะเมนต์คุยกับเพื่อนหรือแสดงความคิดเห็นในโพสต์นี้จังทำไงดี ก็ทำได้ง่าย ๆ แค่กดปุ่มตัว C บนคีย์บอร์ด เราก็สามารถเมนต์คุยกับเพื่อนหรือแสดงความคิดเห็นได้แล้ว

6. ปุ่ม S

          คอนเทนต์นี้ก็ดี ข่าวนี้ก็โดน อยากจะแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน แต่เมาส์ก็ไม่มี กดที่ปุ่มตัว S บนคีย์บอร์ดได้เลย อยากจะแชร์แบบไหนเลือกได้ตามสบาย โดยใช้ปุ่มลูกศรเลือกแล้วกด Enter


7. ปุ่ม Enter

          เมื่อไม่มีเมาส์ แต่อยากอ่านโพสต์ที่มีความยาวมาก ๆ ก็ทำได้ แค่กดไปที่ปุ่ม Enter ก็สามารถอ่านข้อความในโพสต์นั้นทั้งหมดได้เลย

8. ปุ่ม P

          คุณกำลังคิดอะไรอยู่... ถ้าอยากจะโพสต์สเตตัส แค่กดที่ปุ่ม P บนคีย์บอร์ดหน้าต่างสร้างโพสต์ก็จะเด้งขึ้นมาให้เราได้ใช้งานในทันที

9. ปุ่ม O

          หากอยากอ่านโพสต์ที่แนบลิงก์มา ก็อ่านได้ง่าย ๆ โดยกดที่ปุ่มตัว O บนคีย์บอร์ดเพื่อเปิดลิงก์ที่แนบมา

10. ปุ่ม Q

          อยากแชตกับเพื่อนใน Messenger ก็ทำได้เช่นกัน กดที่ปุ่มตัว Q บนคีย์บอร์ด หน้าต่างค้นหาเพื่อนใน Messenger ตรงด้านขวาล่างจะเปิดขึ้น เราแค่พิมพ์ชื่อเพื่อนเราหรือคนที่เราจะแชตด้วย ใช้ปุ่มลูกศรบนแป้นพิมพ์เลื่อนไปที่ชื่อเพื่อนเราแล้วกด Enter 


วิเคราะห์ข่าว 
     การที่เฟซบุ๊คทำเช่นนี้ ส่งผลให้ผู้ใช้งานได้รับความสะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ในการใช่เล่นเฟซบุ๊ค ในคอมพิวเตอร์แบบก่อนๆ ส่งความยากลำบากให้แก่ผู้ใช้งานในระดับนึง แต่ ณ ตอนนี้ทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นมาก

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

ข่าววงการไอทีปัญหาใหญ่ วัยรุ่นยุคใหม่เลือกแชทกันต่อหน้าแทนที่จะคุยกัน!!

     
     Common Sense รายงานในหัวข้อ Social Media, Social Life: Teens Reveal Their Experiences พบว่า ปริมาณวัยรุ่นที่เลือกที่จะคุยกันต่อหน้านั้นลดลงอีกจาก 49% ในปี 2012 เหลือ 32% ในปี 2018 โดยการแชทเป็นวิธีการสื่อสารที่นิยมที่สุดในขณะนี้
     นอกจากนี้ปัญหา Cyberbully หรือการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ก็เริ่มมีมากขึ้น จากเดิม 5% ในปี 2012 ดีดขึ้นไปสูงถึง 35% ในปี 2018 แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ปัญหาที่ตัววัยรุ่นอย่างเดียว เพราะวัยรุ่นกว่า 33% เองก็บอกว่าอยากให้ผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองใช้เวลากับพวกเขามากขึ้นด้วย ซึ่งมากกว่าขึ้นกว่าปี 2012 ที่ 21%
     ทั้งนี้วัยรุ่นกว่า 2 ใน 3 เชื่อว่า Social Media มีผลเชิงลบจริงๆ และพวกเขาต้องการกลับไปยุคที่ไม่มี Social Media มากกว่า
วิเคราะห์ข่าว
     ข่าวนี้เป็นเรื่องจริงที่สุด สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในหมู่วัยรุ่น  ดังนั้นเราควรหันหน้ามาคุยกัน  

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

ปธน.ทรัมป์ เผยไม่พอใจ Google หลังเสิร์ช “trump news” พบเจอแต่ข่าวด้านลบ

     

     เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ Donald Trump หรือ ‘ปธน.ทรัมป์’ ได้ข้อความแสดงความไม่พอใจต่อ Google ลงใน Twitter ส่วนตัวว่า Google มีความพยายามที่จะปิดกั้นข่าวสารด้านดีของตัวเอง หลังลองเสิร์ชคำว่า “trump news” ก็พบแต่ข่าวด้านลบ และส่วนมาก ‘เป็นข่าวปลอม’ จากสำนักข่าว CNN

     ปธน.ทรัมป์ กล่าวอีกว่า Google มีการร่วมมือกับสื่อ ‘ฝ่ายซ้าย’ ระดับชาติ (National Left-Wing Media) ให้แสดงแต่ข่าวที่ไม่ดีมากถึง 96% แทบไม่มีข่าวจาก Republican กับกลุ่มอนุรักษ์นิยมเลย แบบนี้ผิดกฏหมายไหม ? (Illegal?) และกล่าวปิดท้ายว่า นี้เป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงมาก ปัญหานี้จะต้องมีการการดูแลแก้ไขแน่นอน
 
     ทางด้าน Google ก็ออกมาปฏิเสธทันทีว่า ทางบริษัทไม่ได้มีแนวคิดที่จะใช้เครื่องมือนี้ไปในทางการเมืองของฝ่ายในฝ่ายหนึ่งเลย บริษัทมีเป้าหมายชัดเจนว่า เมื่อผู้ใช้เข้ามาเสิร์ชข้อมูลในแถบค้นหาของ Google ก็จะต้องได้รับคำตอบที่เกี่ยวข้องมากที่สุด ภายในเวลาไม่กี่วินาที 


วิเคราะห์ข่าว 

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

4 ยักษ์ใหญ่ไอทีร่วมกันพัฒนา Data Transfer Project ช่วยให้ผู้ใช้โอนข้อมูลข้ามแพลตฟอร์มได้

4 ยักษ์ใหญ่ไอที Google, Microsoft, Facebook และ Twitter ได้ประกาศถึงความร่วมมือครั้งสำคัญ ในการพัฒนา "Data Transfer Project (DTP)" ซึ่งเป็นโปรเจคโอเพ่นซอร์สสำหรับใช้สร้างเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายโอนข้อมูลไปมาระหว่างแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีการอัพโหลด หรือดาวน์โหลดซ้ำ


    หลักการของ DTP คือ การใช้ตัวแปลงต่างๆ มาสร้าง API ให้ออกมาเป็นไฟล์ข้อมูลที่สามารถเข้าใจได้ง่าย โดยที่ตัวแปลงจะมี 2 แบบ คือ "ส่วนของการนำเข้า และส่งออกข้อมูล" กับ "ส่วนการยืนยันตัวตน และความถูกต้องเพื่อปกป้องข้อมูลของผู้ใช้" โดยถ้าว่ากันในทางปฏิบัติแล้ว มันจะทำให้ผู้ใช้สามารถถ่ายโอนรูปภาพจาก Instagram ของตนไปยัง Flickr หรือ Google Photos ได้โดยไม่ต้องมีการดาวน์โหลดกับอัพโหลดใหม่อีกครั้ง

     โดยที่ระบบจะทำการรวมข้อมูลหลากหลายประเภท ทั้งอีเมล์, รายชื่อผู้ติดต่อ, ปฏิทิน และงานต่างๆ ซึ่งประเภทของข้อมูลจะถูกเรียกว่า "Data Models"


     
วิเคราาะห์ข่าว
      การที่ทั้ง Google, Microsoft, Facebook และ Twitter  ร่วมมือกันพัฒนา DTP ว่งผลให้ผู้ใช้ง่ายได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ทั้งเรื่องการส่งต่อไฟล์ หรือการเชื่อมต่อระหว่างกัน
    

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

10 เทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้น และน่าสนใจในปี 2018

1. ระบบสแกนลายนิ้วมือในหน้าจอ

     ซึ่งผู้ที่ใช้เทคโนโลยีนี้รายแรกคือ Vivo นั่นเอง โดยใช้เทคโนโลยี Clear ID FS9500 chip ฝั่งเข้าไปในหน้าจอ AMOLED ช่วยให้อ่านลายนิ้วมือได้อย่างแม่นยำ 

2. มือถือที่สามารถพับหน้าจอได้ (Foldable Phone)

  หลังจากมือถือรุ่นแรกที่พับหน้าจอและขายจริงออกมาอย่าง ZTE AXON M ซึ่งทำให้คนชอบเทคโนโลยีหน้าจอใหญ่ตื่นตัวกับมือถือแบบนี้ แต่ข่าวหลุดภายในบอกว่า Samsung อาจจะพัฒนามือถือจอพับได้ออกมาช่วงปลายปี 2018 มีชื่อว่า Galaxy W เพราะคงรอเทคโนโลยีจอ Super AMOLED แบบพับได้อย่างสมบูรณ์ก่อน

3. Apple กับการพัฒนาอุปกรณ์ AR ครั้งแรก

     ที่ผ่านมา Apple เริ่มให้ความสนใจเทคโนโลยี AR หรือ augmented reality โดยเน้นการแสดงผลภาพร่วมกับโลกข้อความเป็นจริง ที่แตกต่างจากเทคโนโลยร VR (Vistual Reality) พอสมควร

4. ระบบสั่งงานด้วยเสียงที่แนบเนียนกับคน จนแยกไม่ออก

    ความน่าตื่นเต้นในปีก่อนคือ ระบบคำสั่งงานด้วยเสียงเริ่มรับคำสั่งคนได้หลากหลายและทำให้ชีวิตหลายคนสะดวกขึ้น

5. ลำโพงฉลาดที่เน้นคุณภาพเสียง

     Amazon ถือว่าเป็นผู้นำทางด้านการพัฒนา Smart Speaker หรือ ลำโพงอัจฉริยะที่สามารถสั่งงานด้วยเสียงผ่านระบบรับคำสั่งอย่าง Amazon Alexa แต่ดูเหมือนกับลำโพงเหล่านี้จะไม่เข้าตานักฟังเพลงเพราะคุณภาพนั้นยังไม่เข้าขั้น

6. Project Treble ออกมาเพื่อแก้ปัญหา Software ของ Android

      Google กำลังทำอีก Project หนึ่งกับระบบปฏิบัติการ Android โดยมีชื่อว่า Project Treble โดยเป็นโปรเจ็คที่จะทำให้เครื่องสามารถอัปเกรดได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งระบบนี้ถูกติดตั้งใน Android 8.0 Oreoใหม่ แต่อาจจะไม่ครบทุกเครื่อง

7. การกลับมาของมือถือจีน ที่ราคาไม่แพง

     อีกไม่นานคาดว่ามือถือที่มีชื่อเสียงในจีนอย่าง OPPO, Huawei, Xiaomi, และ Brand อื่นๆ จะบุกเข้าตลาดทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกาเนื่องจากมีราคาไม่แพง แต่มีคุณภาพ 

8. Google กับการทำมือถือ AI ครั้งแรก

     ปืที่ผ่านมา Google ได้ส่ง Pixel 2 เข้าตลาดและได้รับความนิยมสูงเพราะคะแนนกล้องของรุ่นนี้ทำได้ดีจนมือถือกล้องมากกว่า 1 ตัว

9. iPad Pro ที่ไร้กรอบและใช้ Face ID

     ปีนี้คาดว่า iPad ที่จะออกใหม่ในปีนี้ จะมีระบบปฏิบัติการคล้ายกับ iPhone X ที่สามารถใช้ Face ID ได้

10. เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่จะยืนยาวมากขึ้น

     และหลังจากเกิดความผลิตพลาดในเรื่องแบตเตอรี่ของ Samsung Galaxy Note 7 และปัญหา Battery Gate ของ iPhone ในปี 2016 ก็ทำให้ผู้ผลิตเริ่มตื่นตัวในเรื่องความปลอดภัยของแบตเตอรี่ มากขึ้นอีกด้วย


วิเคราะห์ข่าว 
     ในอนาคตคาดว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะในปัจจุบันยังพัฒนาขึ้นมาจากอดีตเยอะมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่แน่นอนว่าอีกไม่นาน เทคโนโลยีจะเข้าถึงผู้ใช้งานทุกคน




วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เช็ก 'สกินแคร์' หมดอายุ รู้มั้ยใช้ได้นานแค่ไหน?

   การที่เราซื้อสกินแคร์ต่างๆมา บางครั้งเราอาจจะใช้แค่นิดหน่อย แล้วหยุดใช้ไปซักพัก หรือ ซื้อมาในครั้งเดียวแล้วอยากกลับมาใช้อีก เราอาจไม่รู้ว่า ผลิตภัณฑ์ที่เราซื้อมานั้น ยังสามารถใช้ได้อยู่อีกหรือไม่ 
ดังนั้น เราจึงรวบรวมข้อมูล ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ดังนี้

     1. โทนเนอร์ ใช้ได้ 6-12 เดือน

     2. โฟมล้างหน้า ใช้ได้ 6-12 เดือน

     3. ครีมทาหน้า ใช้ได้ 6-12 เดือน

     4. อายครีม ใช้ได้ 6 เดือน

     5. ครีมอาบน้ำ ใช้

     6. ครีมทาผิว ใช้ได้ 6-12 เดือน

     7. น้ำหอม ใช้ได้ 3 ปี

     8. ครีมกันแดด ใช้ได้ 1 ปี




วิเคราะห์
      จากหัวข้อข่าว หลังที่เราเปิดใช้งานครั้งแรก ควรนับเวลาการใช้งานให้ถูกต้อง เพื่อสุขภาพของตัวเราเอง 
1. โทนเนอร์ ใช้ได้ 6-12 เดือน 2. โฟมล้างหน้า ใช้ได้ 6-12 เดือน 3. ครีมทาหน้า ใช้ได้ 6-12 เดือน 4. อายครีม ใช้ได้ 6 เดือน 5. ครีมอาบน้ำ ใช้

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1329983
1. โทนเนอร์ ใช้ได้ 6-12 เดือน 2. โฟมล้างหน้า ใช้ได้ 6-12 เดือน 3. ครีมทาหน้า ใช้ได้ 6-12 เดือน 4. อายครีม ใช้ได้ 6 เดือน 5. ครีมอาบน้ำ ใช้

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1329983

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

อดดูหนังโป๊! เพิ่มมาตรการไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 เข้าเว็บฯ

 
   
    ในปัจจุบันหนังโป๊ เป็นเรื่องที่หาดูง่ายมาก ตามอินเทอร์เน็ต ทำให้เด็กที่ยังไม่ถึงวัยอันควร เข้าไปดูได้ ทำให้เกิด กฎหมายใหม่ ที่ระบุชัดเจนว่า ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะต้องพิสูจน์ว่าพวกเขาอายุเกิน 18 ปี เพื่อดูเนื้อหาเกี่ยวกับความบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ ดยวิธีที่เป็นไปได้คือต้องระบุตัวตนผ่านหมายเลขประจำตัว หรือหมายเลข Passport

    
    คาดว่ามาตรการนี้จะช่วยให้ผู้ปกครองไม่ต้องกังวลว่าบุตรหลานของตนกำลังรับชมเนื้อหาที่เกินกว่าวัยของพวกเขาอยู่หรือไม่

วิเคราะห์ข่าว 
     คิดว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ดี เพราะเด็กที่มีอายุไม่ถึงเกณฑ์จะได้ไม่หมกหมุ่น อยู่กับหนังโป๊ 

     

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561

9 ข้อระวัง “ติดคุก” ไม่ควรโพสต์ลงโซเชียล

 

       ในปัจจุบันผู้ใช้สื่อโซเชียลหลายคน ไม่ทราบถึงข้อกำหนดของการเผยแพร่รูป เผยแพร่ข้อความต่างๆ ทำให้บุคคลที่อยู่ในข้อมูลนั้น ไดรับความเสียหาย ดังนั้นเราจึงรวบรวม 9 ข้อ เสี่ยงติดคุก ที่ไม่ควรโพสต์ลงโซเชียลมาให้ทุกท่าน

1. สร้างข่าวลือและเผยแพร่

      ไม่ว่าจุดประสงค์ของคุณจะดีหรือร้าย ถ้าบุคคลในข้อมูลในรับความเสียหาย ถือเป็นความผิดตามกฏหมายซึ่งมีโทษจำคุกถึง 5 ปี ปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. โพสต์รูปเปลือยกาย รูปลามก

      แม้จะเป็นแอคเค้าท์ส่วนตัว และคุณคิดว่าการโพสต์ลงบนพื้นที่ของตัวเองจะมีสิทธิ์เสนอข้อมูลอะไรก็ได้โดยเฉพาะการลงรูปโป๊เปลือย ภาพอนาจารของตัวเองหรือแม้แต่ภาพคนอื่น ก็มีความผิดทางกฎหมาย และมีโทษปรับ 100,000 บาท โทษจำคุก 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

3. แต่งเรื่องให้ร้ายผู้อื่น

    บางครั้งเราอาจจะไม่ชอบหน้าใครบ้างคน เราอาจจะโพสต์ลงโซเชียล โดยความผิดนี้มีโทษตามกฏหมายปรับถึง 100,000 บาท จำคุก 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

4. ใช้เทคนิคตัดต่อภาพทำให้คนอื่นเสียหาย

     การนำภาพบุคคลใดๆ ไปตัดต่อเล่นแล้วโพสต์หรือจงใจตัดต่อภาพ ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือหรือสร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น รู้หรือไม่ว่านั้นเป็นความผิดตามกฏหมาย ซึ่งมีโทษปรับ 60,000 บาท และจำคุก 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

5. ตั้งใจขโมยข้อมูลส่วนตัว

     ถือว่าเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ตามข้อกฏหมายเรื่องลิขสิทธิ์

6. แก้ไข ดัดแปลงข้อความผู้อื่น

     โทษปรับ 100,000 บาท จำคุก 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

7. แชร์ต่อๆ กันมาอีกที

     ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็อาจทำให้คุณติดคุกได้จากการแชร์ข้อมูลไม่เลือก และไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน เมื่อเห็นคนแชร์มาก็แชร์ต่อหรือนำไปโพสต์ต่อ ซึ่งอาจเป็นข้อมูลเท็จที่ส่งผลเสียต่อสังคมโดยรวมและทำลายชื่อเสียงของบุคคลอื่นได้ ซึ่งการแชร์ลักษณะนี้ถือเป็นความผิดตามกฏหมายอีกด้วย

8. แชร์ข้อความลูกโซ่

        มีโทษปรับ 100,000 บาท จากความผิดฐานแชร์ข้อความลูกโซ่ที่ไม่เป็นความจริงหรือทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งอาจทำให้คนรับสารเกิดความเข้าใจผิดและกระทำตามข้อความที่แชร์นั้นหรือมีไวรัสติดมากับแชร์ดังกล่าวได้ 

9. โพสต์หมิ่นเบื้องสูง

     การหมิ่นสถาบันเบื้องสูงด้วยการโพสต์ข้อความ ทำรูปภาพ สร้างเพจหรือเว็บไซต์หมิ่น อันเป็นการทำให้เสื่อมเสียต่อสถาบันซึ่งกระทบต่อความมั่นคงภายในประเทศ จะมีโทษจำคุก 15 ปี ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์


วิเคราะห์ข่าว 
      
     ทีนี้จะโพสต์จะแชร์อะไร ลองคิดก่อนซักนิดดีกว่าว่าไปกระทบต่อผู้ใดและสร้างความวุ่นวายต่อสังคมหรือไม่ เพราะเมื่อทำการโพสต์โดยเจตนาไปแล้ว “กฏหมายก็พร้อมทำงานทันที”
      การที่เราจะโพสต์ แสดงความคิดเห็น หรือกดถูกใจรูปอะไรก็ตาม ก็ควรจะคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน เพราะถ้าทำไปแล้วเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561

คุณเป็นคนหนึ่งที่เคยถูก Cyberbullying หรือไม่?

     ในปัจุบัน การกลั่นแกล้งผ่านโลกโซเชียล เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยมาก ซึ่งในตอนนี้มีภาพยนต์จากต่างชาติเรื่อง 13 Reason Why ที่เล่าถึงการกลั่นแกล้งกันของนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ทำให้นักเรียนคนที่โดนกลั่นแกล้ง ฆ่าตัวตายและฝากบันทึก ทั้ง 13 ฉบับ ไว้ให้กับเพื่อนๆ ที่ทำให้เขาตายทุกคน 
     ภาพยนต์เรื่องนี้สะท้อนถึงโลกความจริงในปัจจุบันอย่างมาก แต่มันคงจะไม่ดีถ้าเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นกับตัวเราเอง ดังนั้นเราควรทราบถึงพฤติกรรมและสำรวจดูว่าเราอยู่ในกลุ่มเสียหรือไม่ เพื่อแกรับมือและแก้ไขกับปัญหาดงักล่าว

7 พฤติกรรมที่แสดงว่าคุณกำลัง Cyberbullying
     1.Gossip ส่งข้อความนินทา ทำให้บุคลลอื่นเสียหาย
     2. Exclusion ทำการขับไล่บางคนออกจากกลุ่มออนไลน์ เช่นเฟสบุ๊คกรุ๊ป กรุ๊ปไลน์
     3. Nation การนำบัญชีของผู้อื่นโพสต์ข้อความในไม่เหมาะสม ที่เกิดผลเสียต่อจ้าของบัญชี
     4. Harassment การว่ากล่าว ด่า ด้วยคำหยาบคาย หรือตอกย้ำปมด้อยทำให้บุคคลอื่นเสียความมั่นใจ 
     5. Cyberstalking ส่งข้อความ รูป วีดีโอ ที่ทำให้คนอื่นอับอายบนอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงการข่มขู่ วิจารณ์พฤติกรรม รูปร่าง หรืออะไรก็ตามแต่ที่เจ้าตัวไม่ต้องการ
     6. Outing and Trickery ยั่วโมโห จนอีกฝ่ายใช้อารมณ์ หรือเผยความลับของตัวเองบนโลกออนไลน์
     7. Cyberthreat เข้าไปร่วมวงแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโพสต์ที่มีการรังแกกันบนโลกออนไลน์

รับมือยังไงหากโดน Cyberbullying
     1. อย่าเก็บไว้คนเดียว ควรบอกเล่าเรื่องราวที่ถูกรังแกให้คนที่ไว้ใจได้ เช่นพ่อแม่
     2. บันทึกหลักฐานไว้ ในบางกรณีนอกจากจะเป็นการรังแกผ่านออนไลน์แล้วยังผิดพรบ. คอมพิวเตอร์ หรือเป็นการหมิ่นประมาทอีกด้วย
     3. ปล่อยวางในเรื่องที่ไม่ควรใส่ใจ ไม่ให้ความสำคัญกับข้อความที่พูดถึงเราอย่างไม่มีเหตุผล
     4. ไม่ส่งรูป หรือข้อมูลสำคัญ ลงบนอินเตอร์เน็ต ทั้งสารธารณะ และส่วนตัว เนื่องจากรูปเหล่านี้มีโอกาสที่จะถูกเผยแพร่ได้
     5.สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง มีพลังบวก ไม่เก็บเรื่องราวเล็กน้อยบนออนไลน์มาส่งผลกับการใช้ชีวิต

วิเคราะห์ข่าว 
     การกลั่นแกล้งในโลกโซลเซียลในสมัยนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ขอแค่เรารู้จักวางตัว รู้จักการปฏิบัติตัว วางแผนตั้งรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอยู่สมอ แค่นี้เราการที่เราจะเป็นเหยื่อของการแกล้งในโลกโซลเซียลก็จะกลายเป็นเรื่องยากไปเลย

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Pen+ Ellipse ปากกาอัจฉริยะ เขียนบนกระดาษ แต่แสดงบนจอมือถือได้

     Moleskine เปิดตัว Pen + Ellipse ปากกาอัจฉริยะที่สามารถเขียนบนกระดาษแล้ว sync ลายเส้นที่เราเขียนหรือวาดไปแสดงบนหน้ามือถือหรือแท็บเล็ตได้ผ่านแอปพลิเคชัน 
     ซึ่งการมีนวัตกรรมเช่นนี้ก็ง่ายต่อการเขียน การวาดรูป หรือทำงานที่ต้องฝีมือในการวาด 


โดยตัวปากกา Pen+ Ellipse จะมีราคาอยู่ที่ $179 (ประมาณ 5,700 บาท) ซึ่งจะมีสมุดโน้ต Volant XS Starter Journal แถมมาให้ด้วย ส่วนถ้าต้องการซื้อ Paper Tablet เพิ่มจะมีขายแยกในราคา $29.95 (ประมาณ 990 บาท)


วิเคราะห์ข่าว

     ในอนาคตฉันมั่นใจว่า ปากกาที่มีคุณสมบัติคล้ายกันจะวางขายกันทั่วตลาด เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาไปก้าวไกลมาก ทำให้มนุษย์ต้องการเครื่องมืออำนวยควาสะดวกมากขึ้น ทั้งการสร้างงานจากปลายปากกา และอื่นๆ อีกมากมาย