วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2561

5 เครื่องมือการตลาดดิจิทัล มาแรงในปี 2018


  1. ครบจบในมือถือ ปัจจุบันสมาร์ทโฟนใช้เพื่อเข้าถึงบริการต่างๆในอินเตอร์เน็ต มีผู้ใช้มากกว่า คอมพิวเตอร์ และ แท็บเล็ต หลายเท่าตัว ซึ่งควรสร้างให้สมาร์ทโฟนเป็นแบบ One Stop Sevice คือสามารถทำทุกอย่างได้โดยผ่านสมาร์ทโฟนทั้งหมด 
  2. เชื่อมต่อด้วย IoT (Internet of Things) ในชีวิตประจำวันเราเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีมากมาย ทั้ง สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งตัว IoT จะช่วยที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆสามารถทำงานเชื่อมต่อกันได้อย่างอัจฉริยะ 
  3. o2o ไม่ทำไม่ได้แล้ว คือ Online to Offline การผสมผสานธุรกิจออนไลน์ไปยังออฟไลน์ เพราะผู้บริโภคไม่ได้อยู่แค่ในโลกออนไลน์เท่านั้น หรือ ออฟไลน์เท่านั้น แต่ใช้ชีวิตอยู่ในทั้ง 2 โลกดังนั้นการทำตลาดแค่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะไม่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทั้งหมด และเป็นการลดปัญหาเจ้าของแบรนด์ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า 
  4. VR & AR ให้ลูกค้ารู้สึกจริง เป็นเทคโนโลยี VR ใส่แว่นแล้วเห็นภาพสามมิติจำลองเสมือนจริง และ AR สามมิติในมือถือซึ่งมีต้นทุนถูกกว่า VR แต่ให้ความรู้สึกเหมือนจริงน้อยกว่าเช่นกัน 
  5. Video content ยังได้ไปต่อ เห็นได้ชัดเจนว่า Video ได้รับความนิยมมากกว่าการโพสต์ข้อความหรือรูปปกติ และมีอัตราความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะเป็น content ที่ไม่น่าเบื่อ สร้างอารมณ์ร่วมได้ดี สร้างการจดจำ 

วิเคราะห์ข่าว 
     5 เครื่องมือการตลาดดิจิตอลนี้ ถือเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจในปี 2018 แต่ยังมีเครื่องมือการตลาดดิจิตอลอีกหลายตัวที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับแบรนด์ในประเภทต่างๆได้นำไปเลือกใช้เพื่อส่งเสริมให้ทำการตลาดได้อย่างมีปะสิทธิภาพยิ่งขึ้น

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

Facebook กำลังใช้ปัญญาประดิษฐ์ ตรวจสอบ meme ที่น่ารังเกียจ

Facebook เริ่มรับไม่ได้ที่แพลทฟอร์มของตนนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่สร้างความเกลียดชังมากขึ้น โดยขัดต่อกฎหลักที่ตนต้องการ จึงมีการสร้างเครื่องมือมาตรวจจับการกระทำผิดเหล่านี้
มีม (meme) เป็นรูปแบบของ ความคิดทางวัฒนธรรม สัญลักษณ์ หรือการปฏิบัติ ที่สามารถส่งผ่านจากจิตใจคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ผ่านการเขียน การพูด ท่าทาง พิธีกรรม ภาพล้อเลียน และมีคำศัพท์ต่างๆในภาพที่มีความหมายเชิงตลก
แต่นับวัน สัญลักษณ์หรือมีมเหล่านี้กำลังเพิ่มขึ้นจำนวนมาก มีมทีดีก็ดีไป แต่สำหรับมีมที่จงจงสร้างแรงเกลียดชังหรือสร้างความร้าวฉานแก่สังคม Facebook จำเป็นต้องลบออกไปให้เร็วที่สุด แต่ปัญหาคือมีมมันมีมากจน Facebook ไม่สามารถใช้มนุษย์แยกแยะได้ทั้งหมด
ในโพสต์บล็อกวันนี้ Facebook อธิบายถึงระบบที่สร้างขึ้นมานั่นคือ Rosetta ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ ที่ใช้การทำ Machine Learning เพื่อใช้ระบุข้อความในรูปภาพและวิดีโอ ที่นำมาอัพโหลดลงใน Facebook ที่แสดงถึงความเกลียดชังและสร้างความขัดแย้งในสังคม
วิเคราะห์ข่าว
ถึงมีมจะช่วยส่งรูปแบบความคิดเราได้ดี แต่ถ้าผู้สร้างมีมบางคน สร้างในรูปแบบที่น่าเกลียด ก็อาจส่งผลต่อผู้ใช้งานบางส่วน

จิตแพทย์เตือน E-sport ไม่ใช่กีฬา เป็นเพียงแค่วาทกรรมของบริษัทเกมเท่านั้น

โดยนายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต. ได้ให้เหตุผลชี้แจงว่า 
1. E-sport เป็นเพียงวาทะกรรมของบริษัทเท่านั้น โดยปัจจุบันการแข่งขันเกม คณะกรรมการโอลิมปกสากล ก็ยังไม่รองรับว่าเป็น Sport ด้วย 3 เหตุผลคือ การแข่งขันนั้นมีเนื้อหารุนแรง ขาดระบบ Sanction Body ที่คอยควบคุมนักกีฬา 
2.คนเล่น เป็นนักกีฬาไม่ได้ทุกคน ปัจจุบันในสหรับอเมริกา มีคนเล่น ROV จำนวน 60 ล้านคน แต่มีผู้เล่นที่มีรายได้ประจำเพียงแค่ 57 คนเท่านั้น (อัตราเทียบคือ 1 :1,000,0000) ซึ่งส่งผลเสียต่อครอบครัวและสมรรถนะในการประกอบอาชีพ
3.กว่าจะได้เป็นมืออาชีพ คนเหล่านี้ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพ สมาธิสั้น เสียการพัฒนา โดย WHO จึงประกาศให้ Game Disorder หรือโรคติดเกม เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง
4.การรับรองโดยสมาคม โดยในต่างประเทศเป็นการรับรองว่าเป็นสมาคมตัวแทน แต่กับประเทศไทย ได้รับรองว่าเป็นกีฬาโดยตรง ทำให้บริษัทและสมาคมสามารถขยายการโฆษณาได้อย่างไรขีดจำกัด
5.ผลคือการโฆษณาอย่างบ้าคลั่งทำให้เด็กติดเกมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีปัญหาด้านพฤติกรรมก้าวร้าว ละทิ้งการเรียน การโกหก ลักขโมย รวมไปถึงไปภาวะซึมเศร้า และเพียงแค่ประกาศรับรองได้เพียง 6 เดือนก็ทำให้เด็กมีภาวะติดเกมเพิ่มขึ้นกว่า 100% เพราะได้มีการจัดแข่งขันกันในโรงเรียนโดยอ้างว่าเป็นกีฬา
วิเคราะห์ข่าว
E-sport ถึงจะจัดให้เป็นกีฬา แต่ก็มีผลเสียในหลายๆ ด้าน ถ้าเราแบ่งเวลาให้เป็น รู้จักทำตามกฎ กติกา ก็จะส่งผลให้เสียให้น้อยลงมาก

เขย่าวงการ! ซีอีโอกูเกิลเตรียมสร้าง “ปัญญาประดิษฐ์” ด้วยงบมหาศาล 500 ล้านดอลลาร์

นายศุนทัร ปิจไช ซีอีโอกูเกิล (Google) ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) ว่าจะมีความสำคัญต่อมนุษยชาติยิ่งกว่าเปลวไฟหรือกระแสไฟฟ้า พร้อมกับระบุว่า  “เอไอเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดที่มนุษย์กำลังทำอยู่” 
เอไอก็มีศักยภาพของความก้าวหน้าบางอย่างที่เรากำลังจะได้เห็นในอนาคต นอกจากนี้กูเกิลเปิดเผยว่า เขาจะควักเงินกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อซื้อบริษัท ดีพมายด์ (DeepMind) ผู้สร้างสรรค์ปัญญาประดิษฐ์อัลฟาโกะ (AlphaGo) ในปี 2016 และนำมันมาพัฒนาต่อจนแสดงความสามารถช็อกโลกด้วยการเอาชนะมนุษย์ ลี เซโดล แชมป์หมากล้อม 18 สมัยจากเกาหลีใต้อย่างขาดลอยในปีก่อน
วิเคราะห์ข่าว
การที่กูเกิล บริษัทชั้นนำทางด้านอินเตอร์เน็ต จะเข้ามาพัฒนาเอไอในทางที่ดีขึ้น และจะช่วยประมาณให้กับมนุษย์ได้มากขึ้นเช่นกัน 

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561

LINE ปิดปรับปรุง บริการเติมเงินบัตร Rabbit ผ่านแอป LINE

     เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2561 LINE เปิดตัวบริการเติมเงินเพื่อโดยสารรถไฟฟ้า BTS โดยใช้แอป LINE คู่กับบัตร Rabbit แต่เนื่องจากมีรายงานว่าพบผู้โดยสารไม่สามารถใช้บัตร Rabbit ในการจ่ายเงินซื้อของ หรือโดยสาร BRT ได้ ตั้งแต่หลังจากยืนยันใช้แอปคู่กับบัตร Rabbit ที่  BTS 5 สถานีแล้วไม่สามารถแตะบัตรใช้งานได้ โดยแอป LINE ชี้แจงว่า “เนื่องจากพบปัญหาบางประการ จึงเป็นเหตุให้บูธปิดปรับปรุงชั่วคราว ทั้งนี้หลังจากแก้ไขปัญหาเสร็จแล้ว ทางเราจะเปิดให้บริการตามปกติใน 5 สถานี 
วิเคราะห์ข่าว : การที่ แอป LINE เพิ่มบริการตัวใหม่ ทำให้เพิ่มความสะดวกสบายแก่พนักงานหลายๆ คน แต่ถึงแม้จะมีข้อผิดพลาด ก็ไปปรับปรุงแก้ไข พัฒนาให้ดีขึ้น นับว่าเป็นบริการที่ดี
     

วิธีใช้คีย์บอร์ดเล่นเฟซบุ๊กสำหรับเดสก์ท็อป ไม่มีเมาส์ก็เล่นเฟซบุ๊กได้

1. ปุ่ม ? (Shift + /)

          สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าคีย์ลัดแต่ละปุ่มนั้น มีความหมายอย่างไรบ้าง หรือบางคนอาจจะลืม ก็สามารถกดปุ่ม ? เพื่อเรียกดูรายการปุ่มลัดบนแป้นพิมพ์ได้ โดยจะมีคำอธิบายของทุกปุ่มไว้
 
2. ปุ่ม J และ K

          หากอยากจะเลื่อนหน้า Feed ข่าว ทำได้ง่าย ๆ เพียงกดไปที่ปุ่มตัว J บนคีย์บอร์ดก็สามารถเห็นโพสต์ถัดไปได้เรื่อย ๆ หากอยากจะกลับมาดูโพสต์ก่อนหน้านี้แค่กดไปที่ปุ่มตัว K คุณก็จะเห็นโพสต์ก่อนหน้านี้ได้แล้ว

3. ปุ่ม /

          เลื่อนหน้า Feed ดูแล้วยังไม่เจอเฟซบุ๊กเพื่อน เพจที่ชอบก็ยังหาไม่เจอ แค่กดปุ่ม / บนคีย์บอร์ด แล้วพิมพ์ชื่อเฟซบุกเพื่อน หรือแฟนเพจที่เราจะค้นหา เพียงเท่านี้เราก็หาเจอแล้ว

4. ปุ่ม L

          เมื่อเจอรูป, โพสต์จากเพื่อน หรือคอนเทนต์ที่เราชอบ ถูกใจ อยากจะกด Like ให้ แต่จะกดยังไงดีเพราะไม่มีเมาส์ แค่กดปุ่มตัว L บนคีย์บอร์ดเท่านั้น จะมีกล่องข้อความเด้งขึ้นมาเพื่อยืนยันความถูกต้องในสิ่งที่เราจะกด Like จากนั้นกดปุ่มลูกศรเลื่อนมาที่ "ยืนยัน" แล้วกด Enter ได้เลย เพียงแค่นี้เราก็กด Like เรียบร้อยแล้ว

5. ปุ่ม C

          คันไม้คันมืออยากจะเมนต์คุยกับเพื่อนหรือแสดงความคิดเห็นในโพสต์นี้จังทำไงดี ก็ทำได้ง่าย ๆ แค่กดปุ่มตัว C บนคีย์บอร์ด เราก็สามารถเมนต์คุยกับเพื่อนหรือแสดงความคิดเห็นได้แล้ว

6. ปุ่ม S

          คอนเทนต์นี้ก็ดี ข่าวนี้ก็โดน อยากจะแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน แต่เมาส์ก็ไม่มี กดที่ปุ่มตัว S บนคีย์บอร์ดได้เลย อยากจะแชร์แบบไหนเลือกได้ตามสบาย โดยใช้ปุ่มลูกศรเลือกแล้วกด Enter


7. ปุ่ม Enter

          เมื่อไม่มีเมาส์ แต่อยากอ่านโพสต์ที่มีความยาวมาก ๆ ก็ทำได้ แค่กดไปที่ปุ่ม Enter ก็สามารถอ่านข้อความในโพสต์นั้นทั้งหมดได้เลย

8. ปุ่ม P

          คุณกำลังคิดอะไรอยู่... ถ้าอยากจะโพสต์สเตตัส แค่กดที่ปุ่ม P บนคีย์บอร์ดหน้าต่างสร้างโพสต์ก็จะเด้งขึ้นมาให้เราได้ใช้งานในทันที

9. ปุ่ม O

          หากอยากอ่านโพสต์ที่แนบลิงก์มา ก็อ่านได้ง่าย ๆ โดยกดที่ปุ่มตัว O บนคีย์บอร์ดเพื่อเปิดลิงก์ที่แนบมา

10. ปุ่ม Q

          อยากแชตกับเพื่อนใน Messenger ก็ทำได้เช่นกัน กดที่ปุ่มตัว Q บนคีย์บอร์ด หน้าต่างค้นหาเพื่อนใน Messenger ตรงด้านขวาล่างจะเปิดขึ้น เราแค่พิมพ์ชื่อเพื่อนเราหรือคนที่เราจะแชตด้วย ใช้ปุ่มลูกศรบนแป้นพิมพ์เลื่อนไปที่ชื่อเพื่อนเราแล้วกด Enter 


วิเคราะห์ข่าว 
     การที่เฟซบุ๊คทำเช่นนี้ ส่งผลให้ผู้ใช้งานได้รับความสะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ในการใช่เล่นเฟซบุ๊ค ในคอมพิวเตอร์แบบก่อนๆ ส่งความยากลำบากให้แก่ผู้ใช้งานในระดับนึง แต่ ณ ตอนนี้ทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นมาก

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

ข่าววงการไอทีปัญหาใหญ่ วัยรุ่นยุคใหม่เลือกแชทกันต่อหน้าแทนที่จะคุยกัน!!

     
     Common Sense รายงานในหัวข้อ Social Media, Social Life: Teens Reveal Their Experiences พบว่า ปริมาณวัยรุ่นที่เลือกที่จะคุยกันต่อหน้านั้นลดลงอีกจาก 49% ในปี 2012 เหลือ 32% ในปี 2018 โดยการแชทเป็นวิธีการสื่อสารที่นิยมที่สุดในขณะนี้
     นอกจากนี้ปัญหา Cyberbully หรือการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ก็เริ่มมีมากขึ้น จากเดิม 5% ในปี 2012 ดีดขึ้นไปสูงถึง 35% ในปี 2018 แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ปัญหาที่ตัววัยรุ่นอย่างเดียว เพราะวัยรุ่นกว่า 33% เองก็บอกว่าอยากให้ผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองใช้เวลากับพวกเขามากขึ้นด้วย ซึ่งมากกว่าขึ้นกว่าปี 2012 ที่ 21%
     ทั้งนี้วัยรุ่นกว่า 2 ใน 3 เชื่อว่า Social Media มีผลเชิงลบจริงๆ และพวกเขาต้องการกลับไปยุคที่ไม่มี Social Media มากกว่า
วิเคราะห์ข่าว
     ข่าวนี้เป็นเรื่องจริงที่สุด สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในหมู่วัยรุ่น  ดังนั้นเราควรหันหน้ามาคุยกัน